วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

การศึกษาค้นคว้าการเพาะเห็ดฟางในตะกร้า

การเพาะเห็ดฟางในตะกร้า


ผู้จัดทำ 

1...รังสิมันต์               เรืองขจร            ชั้น ม.2/4  เลขที่ 12
 2...พลอยนภัส           เพชรธนาภัทร์    ชั้น ม.2/4   เลขที่ 28
 3...สิริยากร                สว่างศรี              ชั้น ม.2/4   เลขที่ 36
4...สุชานันท์             เพ็ชรศักดา          ชั้น ม.2/4  เลขที่ 38

การศึกษานี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา การสื่อสารและการนำเสนอ (IS) รหัสวิชา I22202
โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย สุพรรณบุรี
ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558

สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 9



บทคัดย่อ
       
          การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบว่าสารอาหารชนิดใดทำให้เห็ดเจริญเติบโตมากกว่ากัน และเพื่อทดลองการปลูกเห็ดในตะกร้า
        โดยทดลองการเพาะเห็ดในตะกร้าและใช้สารอาหารสำหรับเห็ดเปรียบเทียบ 2 ชนิด คือ เชื้อเห็ดฟาง และรำละเอียด
        วิเคราะห์ข้อมูลโดยการสังเกตผลการเจริญเติบโตของเห็ด ผลการศึกษาพบว่า
        ผลการศึกษา เชื้อเห็ดที่เพาะในตะกร้าที่มีฟางจะทำให้ผลลัพธ์ดีกว่า เชื้อเห็ดที่เพาะในตะกร้าที่ใช้วัสดุเพาะจากผักตบชวา


บทนำ

ที่มาและความสำคัญ

           การเพาะเห็ดฟางในประเทศไทยเริ่มศึกษาและมีการเพาะตั้งแต่ ปี พ.ศ.2479 กรมกสิกรรมเกษตรกลางบางเขน โดยอาจารย์ก่าน ชลวิจารณ์  เป็นต้นมาการเพาะครั้งแรกอาศัยเชื้อเห็ดฟางจากธรรมชาติ  ต่อมาการเพาะเห็ดฟางก็ได้รับการวิจัยและพัฒนามาโดยตลอด และได้มีการทดลองแยกเชื้อเห็ดฟางบริสุทธิ์จากดอกเห็ดฟางได้เป็นผลสำเร็จในปี พ.ศ.2480 ต่อมาได้มีนักวิชาการหลายสถาบัน เช่น  นักวิชาการจากกรมวิชาเกษตรกรมส่งเสริมการเกษตร วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีมหาวิทยาลัย ภาคเอกชนและเกษตรกร ร่วมกันพัฒนาวิธีการเพาะเห็ดฟางและวิธีการเลี้ยงเชื้อเห็ดฟางมาตามลำดับ โดยเริ่มตั้งแต่การเพาะเห็ดฟางแบบกองสูงมาเป็นกองเตี้ย จนถึงการใช้วัสดุต่างๆ ที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาเพาะเห็ดฟาง และต่อมาได้มีการพัฒนามาเป็นการเพาะเห็ดฟางแบบโรงเรือนหรือเพาะเห็ดฟางแบบอุตสาหกรรมที่ทำให้ได้ผลผลิตสูง คุณภาพดอกเห็ดดีกว่าและง่ายต่อการจัดการ แต่ไม่ว่าการเพาะเห็ดฟาง ในรูปแบบใดก็แล้วสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุด คือต้องผลิตเชื้อเห็ดฟางที่มีคุณภาพ เพื่อให้ได้สายพันธุ์ของเห็ดฟางที่มีความเหมาะสมกับการเพาะเห็ดฟางในแต่ละวิธี มีผลิตสูงและมีคุณสมบัติตามที่ตลาดต้องการ
           เห็ดฟางเป็นเห็ดที่ขึ้นได้ดีในธรรมชาติ เป็นเห็ดที่คนไทยรู้จักกันดี ขึ้นได้ในวัสดุ ที่เป็นผลผลิตจากไร้นา สวนผลไม้ วัชพืชและเศษเหลือทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรม เช่น ขี้ฝ้าย  ชานอ้อย  กากมัน  สำปะหลัง และทะลายปาล์มเป็นต้น คนไทยมีความคุ้นเคยกับการประกอบอาหารด้วยเห็ดฟางหลายชนิด ได้แก่  ต้มยำกุ้งกับเห็ดฟาง  ผัดเห็ดฟาง  แกงเผ็ดเห็ดฟาง  ต้มยำรวมมิตร  เป็นต้น และสามารถใช้เห็ดฟางประกอบอาหารประเภทอื่นๆ แทนผักได้อย่างลงตัว อาหารจาก เห็ดฟางมีรสชาติอร่อย มีคุณค่าทางอาหารสูง เป็นสมุนไพรและป้องกันโรคหลายชนิด นอกจากนี้เห็ดฟางยังแปรรูปเป็นอุตสาหกรรมได้ดีมาก ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน คือ เห็ดฟางแช่น้ำเกลืออัดกระป๋อง  เห็ดฟางตากแห้ง  และเห็ดฟางแช่แข็ง เป็นต้น
           การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการเพาะเห็ดฟางมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาการผลิตเชื้อเห็ดฟาง และการเพาะเห็ดฟางให้มีผลผลิตสูงและมีคุณภาพดียิ่งขึ้น เช่นการใช้วัสดุเพาะเห็ดฟาง การคิดค้นวิธีการเพาะเห็ดฟางแบบใหม่ๆ หลายวิธี มีการศึกษาและนำเทคโนโลยีมาปรับใช้มากขึ้น

วัตถุประสงค์ของการศึกษา

1.เพื่อทดลองการเพาะเห็ดในตะกร้า
2.เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบว่าสารอาหารชนิดใดทำให้เห็ดเจริญเติบโตมากกว่ากัน
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1.รู้วิธีการเพาะเห็ดฟาง
2.รู้ว่าสารอาหารชนิดใดเหมาะสำหรับเห็ดฟาง
3.เป็นแนวทางในการศึกษาการเพาะเห็ดชนิดอื่นๆต่อไป

เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

    การศึกษาเรื่องการเพาะเห็ดฟางในครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องโดยแบ่งเนื้อหาของเอกสารงานวิจัยออกเป็นหัวข้อต่างๆ ดังนี้
        1.ประวัติการเพาะเห็ดฟาง
        2.ชีววิทยาของเห็ดฟาง
        3.การพัฒนาของดอกเห็ดฟาง
       4.วัสดุอุปกรณ์การเพาะเห็ดฟาง
       5.วิธีการเพาะเห็ดฟาง
       6.ปัจจัยที่มีผลต่อการเพาะเห็ดฟาง
       7.ประโยชน์ของเห็ดฟาง
1.ประวัติการเพาะเห็ดฟาง
         ประมาณปี พ..2479 ประเทศไทยเป็นประเทศแรก ที่มีการทำเชื้อเห็ดฟางบริสุทธิ์ได้สำเร็จ ที่กรมกสิกรรมบางเขน โดย ดร.ก่าน ชลวิจารณ์ซึ่งเป็นผู้บุกเบิก หลังจากนั้นชาวจีนบางส่วนได้อพยพจากแผ่นดินใหญ่มาตั้งหลักฐานที่ประเทศไต้หวัน ได้เริ่มพัฒนาการเพาะเห็ดฟางขึ้นใหม่ โดยนำเชื้อเห็ดฟางไปจากประเทศไทย
ในปีเดียวกันประเทศไทยได้เริ่มมีการส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะเห็ดฟางจากฟางข้าว โดยมีผู้ผลิตเชื้อเห็ดฟางบริสุทธิ์ให้กับเกษตรกรนำไปเพาะเลี้ยงให้เกิดดอกเห็ด แต่ยังไม่เป็นอาชีพถาวร
          ปี พ..2512 การผลิตเชื้อเห็ดฟางบริสุทธิ์ในประเทศไทย นิยมทำเชื้อเห็ดฟางบริสุทธิ์ ที่มีส่วนผสมของเปลือกบัวและขี้ม้า ในปีเดียวได้เกิดโรคระบาดในแปลงนาบัว ทำให้มีปริมาณเปลือกบัวน้อยมีผลทำให้ราคาสูง ซึ่งเป็นปัญหาในการผลิตเชื้อเห็ดฟางบริสุทธิ์
ปี พ..2513 สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ประยุกต์แห่งประเทศไทย ได้ทดลองใช้วัสดุอื่นๆที่สามารถทดแทนได้ในการผลิตเชื้อเห็ดฟางได้ และพบว่ากากเมล็ดฝ้ายที่สกัดน้ำมันออกหมดแล้ว นำมาผสมกับขี้ม้าจนได้ที่สามารถใช้ผลิตเชื้อเห็ดฟางได้เป็นผลสำเร็จ
ปี พ..2514 เกษตรกรสามารถใช้ตอซังข้าววัสดุควบคุมความชื้นได้ และยังเป็นอาหารของเห็ดฟางได้เป็นอย่างดี ต่อมาในปีเดียวกันได้มีการทดลองใช้ฟางข้าวนวดซึ่งนำเมล็ดข้าวออกหมดแล้วมาเป็นวัสดุควบคุมความชื้นโดยผสมกับไส้นุ่น และจัดทำโรงเรือนที่มีหลังคาคุมกองเห็ดที่เพาะอยู่ เพื่อป้องกันแสงแดด กระแสลม รักษาความชื้นและใช้ควบคุมอุณหภูมิในกองเพาะเห็ดฟาง
ปี พ..2515 ประเทศไทยได้เริ่มจัดการให้มีการฝึกอบรมการเพาะเห็ดฟางให้เกษตรกรขึ้น โดยใช้วัสดุที่เหลือจากโรงงานทำกระดาษ ซึ่งได้แก่เศษฟาง และใช้เชื้อเห็ดฟางจากสปอร์ ได้ผลผลิตพอสมควร
 ปี พ..2525 กรมวิชาการเกษตรได้ทดลองและวิจัยการเพาะเห็ดฟางในโรงเรือนได้เป็นผลสำเร็จ เรียกว่า  การเพาะเห็ดฟางแบบอุตสาหกรรม  ซึ่งสามารถเพิ่มผลผลิตเห็ดฟางได้สูงมากเฉลี่ย  กิโลกรัม/1 ตารางเมตร(พื้นที่เฉพาะแต่ละชั้น) และได้มีการส่งเสริมให้เกษตรกรเพาะเห็ดฟางดังกล่าวอย่างจริงจัง
ในปีเดียวกันมีหน่วยงานของภาคเอกชนได้คิดวิธีการเพาะเห็ดฟางแบบคอนโด  และต่อมาได้คิดค้นการเพาะเห็ดฟางแบบม้วนเสื่อ แต่ไม่เป็นที่นิยมในหมู่เกษตรกร
         ปี พ..2530     เป็นต้นมา  หน่วยงานภาครัฐ  มหาวิทยาลัย  สถานศึกษา  และภาคเอกชนหลายแห่งได้ให้ความสนใจ โดยเฉพาะสำนักส่งเสริมและฝึกอบรมการเกษตรแห่งชาติกำแพงแสน  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้มีการตื่นตัวในการพัฒนาการผลิตเชื้อเห็ดฟาง มีการส่งเสริมสนับสนุน ฝึกอบรมการเพาะเห็ดฟาง และการผลิตเชื้อเห็ดฟางด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่มากยิ่งขึ้น
2.ชีววิทยาของดอกเห็ดฟาง
        การศึกษาชีววิทยาของเห็ดฟางคือ ส่วนประกอบของดอกเห็ดฟางตามหลักการทางชีววิทยามีรายละเอียดดังนี้
 1.ส่วนประกอบของดอกเห็ดฟาง
       เห็ดฟางเป็นเชื้อราขั้นสูงชนิดหนึ่ง  ดอกเห็ดมีขนาดป่นกลาง ที่มีเป็นทรงร่มมีปลอกหุ้มหรือถุงคลุม (Volva) ดอกเห็ดในขณะยังเล็กเมื่อโตขึ้นปลอกนี้จะถูกดันแตกออกไป ปลอกที่จะแตกหุ้มอยู่ที่โคนดอกเห็ด ดอกเห็ดที่โตเต็มที่ (Mature)มีส่วนประกอบดังนี้
1.หมวกดอกเห็ด(Pileus)
2.ครีบ  (Gills)            
3.ก้านดอก (Stalk)             
4.ปลอกหุ้ม (Volva)
5.เส้นใยเห็ด (Mycelium) เป็นส่วนที่อยู่ใต้ดอกเห็ดที่ทำหน้าที่คล้ายราก ทำหน้าที่ดูดน้ำ อาหารให้กับดอกเห็ดนั้นรายละเอียดของส่วนต่างๆที่ควรทราบมีดังนี้
1.1หมวกดอกเห็ด (Pileus)
        หมวกดอกเห็ดมีสีและมีลักษณะคล้ายรูปร่ม ผิวของหมวกดอกเรียบ มีสีขาวเทาจนถึงสีดำ ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และสภาพแวดล้อม สีของหมวกดอกจะเข้มบริเวณตรงกลางดอกและซีดลงตรงบริเวณขอบหมวกดอกเห็ด เมื่อหมวกดอกเห็ดบานเต็มที่ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 4 – 14 เซนติเมตร
1.2 ครีบ (Gills) 
       ครีบคือส่วนที่อยู่ใต้หมวกดอก มีลักษณะเป็นแผ่นเล็กๆวางเรียงกันจากจุดใกล้ก้านดอก เป็นรัศมีออกไปที่ปลายหมวกดอด ดอกเห็ดที่สมบูรณ์มีครีบจำนวนประมาณ 300 – 400 ครีบ     มีความห่างกันแต่ละครีบประมาณ 1 มิลลิเมตร เมื่อถึงขั้นที่เห็ดฟางสืบพันธุ์ได้คือ  ดอกเห็ดโตเต็มที่จะเกิดการปลิแตกออกของปลอกหุ้มแล้วประมาณ 3 – 6 ชั่วโมง ครีบจะเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีชมพูอ่อนแล้วเป็นสีน้ำตาลเข้มในที่สุด เมื่อเป็นสีน้ำตาลเข้มก็แสดงว่าครีบสร้างสปอร์แล้ว  
        สปอร์มีลักษณะใส ไม่มีสี รูปร่างคล้ายไข่ ขนาดกว้างประมาณ 4.5 ไมครอน ยาวประมาณ 7.3 ไมครอน (1 ไมครอน = 1/1,000 มิลลิเมตร) สปอร์คืออวัยวะสืบพันธุ์ของเห็ดฟาง ทำหน้าที่คล้ายเมล็ดพันธุ์ หากตัดเนื้อเยื่อของครีบตามขวางจะพบอวัยวะชนิดหนึ่ง มีลักษณะคล้ายกระบองอ้วนๆมีโคนเล็ก เรียกว่า แบสิเดียม (Basidium) เมื่อแบสิเดียมเจริญเต็มที่แล้ว จะมีก้านชูขึ้นตรงปลายข้างบน 4 ก้านเรียกว่า ก้านชูสปอร์ (Sterigma) ส่วนปลายของก้านชูสปอร์มีลักษณะเป็นรูปวงรีคล้ายรูปหัวใจ โดยมีส่วนที่แคบซึ่งสัมผัสกับก้านชูสปอร์ เมื่อสปอร์แก่เมที่จะมีหยดน้ำเกิดขึ้นระหว่างก้านชูสปอร์ หยดน้ำนี้โตขึ้นเรื่อยๆโดยมีส่วนต่อระหว่างก้านชูสปอร์จะอ่อนและเปราะมาก เมื่อหยดน้ำโตขึ้นจะมีแรงตึงผิวมากทำให้สปอร์หลุดออกจากก้านชู แล้วหล่นหรือปลิวไปตามอากาศ ดอกเห็ดดอกหนึ่งสามารถสร้างสปอร์ได้นับหมื่นสปอร์
1.3 ก้านดอก (Stalk)
         ก้านดอกเป็นส่วนที่ชูดอกเห็ดโดยเชื่อมระหว่างส่วนฐานและตรงกลางของหมวกดอด ก้านดอกมีเส้นใยเรียงตัวแบขนานกับความยาวของก้านดอก มีสีขาว มีลักษณะเรียงจากฐานไปทางปลายหรือไปทางด้านบนขนาด 0.5 – 1.5 เซนติเมตร
1.4 ปลอกหุ้ม(Volva)
        ปลอกหุ้มเป็นเนื้อเยื่อด้านนอกของดอกเห็ด ขณะที่ดอกเห็ดยังไม่เจริญเต็มที่นั้น ปลอกหุ้มมีหน้าที่หุ้มดอกเห็ดทั้งหมดเพื่อป้องกันอันตรายให้ส่วนต่างๆของดอกเห็ด ปลอกหุ้มปริแตกเมื่อดอกเห็ดเจริญเติบโตเต็มที่ ซึ่งการปริแตกจะเป็นไปอย่างช้าๆขณะเดียวกันกับที่หมวกดอกและก้านดอกเจริญเติบโตไปในอัตราที่เร็วกว่า หมวกดอกและก้านดอกจะโผล่ออกมาพ้นปลอกหุ้ม ทำให้เห็นปลอกที่หุ้มอยู่ที่โคนของก้านดอก
1.5 เส้นใยเห็ด (Mycelium)
เส้นใยเห็ดมีระยะหรือช่วงชีวิตแบ่งเป็น 3 ตอนคือ
1.เส้นใยขั้นแรก ซึ่งเกิดจากสปอร์
2.เส้นใยขั้นสอง  เกิดจากการพัฒนาของเส้นใยขั้นแรก (หรือเกิดจากเส้นใยขั้นสามในกรณีที่แยกเนื้อเยื่อจากดอกเห็ด)
3.เส้นใยขั้นสาม พัฒนามาจากเส้นใยขั้นที่สอง
    1.5.1 เส้นใยขั้นแรก
         เป็นเส้นใยยาวออกไป มีผนังกั้นดูเป็นช่องๆติดต่อกันยาว แต่ละช่องมีนิวเครียสเพียงนิวเครียสเดียว เส้นใยชนิดนี้จะไม่สร้างเป็นดอกเห็ดได้เลย แต่จะพัฒนาเป็นเส้นใยขั้นสองก่อน
       1.5.2 เส้นใยขั้นสอง
        พบเส้นใยชนิดนี้มากที่สุด เช่น เชื้อเห็ดฟางที่มีขายกันอยู่ในท้องตลาด เส้นใยชนิดนี้แยกมาจากดอดเห็ด (เส้นใยขั้นสาม) มาเลี้ยงบนอาหารวุ้น เส้นใยขั้นที่สองเกิดได้ด้วยการพัฒาเส้นใยขั้นแรก โดยวิธีการดังนี้
              1.การรวมกันของเส้นใยที่รวมด้วยตัวเองไม่ได้ (Self sterlife)ต้องเกิดจากการรวมตัวจากตัวเส้นใยเฮทเทอโรธัลลิค (Heterrothalic) เหตุการณ์นี้พบน้อยมาก เส้นใยชนิดนี้เจริญช้า และไม่พบครามิโดสปอร์ (Clamydpspore) และการดำรงชีวิตมีอัตราต่ำ
              2.การรวมตัวเองของเซลล์ในเส้นใยเดียวกัน (Self sterile) หรือโอโมทัลลิค (Hompthalic) เหตุการณ์นี้พบมากกว่า 2 กรณีแรก 2 เท่า  เส้นใยของพวกโฮโมธัลลิค อาจมีนิวเครียสในเซลล์หนึ่งๆตั้งแต่ 2 หรือจำนวนหลายๆนิวเครียส อาจถึงสุงสุดที่เคยพบคือ 36 นิวเครียสต่อหนึ่งเซลล์ในเส้นใย เส้นใยชนิดนี้เมื่อเริ่มแก่ตัวหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมผนังบางส่วนของเซลล์ในเส้นใยจะถูกสร้างให้หนาขึ้น มีลักษณะค่อนข้างกลม มีสีน้ำตาลไหม้ทนทานต่อสภาพแวดล้อม และสามารถมีชีวิตอยู่ได้ข้ามฤดูกาลในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น แห้งแล้งหรือหนาวเย็นเกินไป เซลล์ชนิดนี้เรียกว่า คลามิโดสปอร์ ซึ่งจัดว่าเป็นอวัยวะสำหรับขยายพันธุ์ของเส้นใยเห็ด เมื่อคลามิโดสปอร์กลับไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมก็จะงอกเป็นเส้นในเจริญเติบโตตามเดิมได้ คลามิโดสปอร์หากเกิดขึ้นจำนวนมากรวมตัวกันเป็นกลุ่มจะเห็นเป็นสีน้ำตาลแดงอยู่ที่ข้างถุง เช่น ที่เห็นในเชื้อเห็ดฟางที่มีอายุมากกว่า 10 วัน เป็นต้น
       1.5.3 เส้นใยขั้นสาม
           เส้นใยขั้นสามหรือดอกเห็ด เกิดจากการรวมตัวของเส้นใยขั้นสองเป็นจำนวนมาก และมีอายุมากเจริญเต็มวัยมารวมตัวกัน แล้วสน้างสารจำพวกฮอร์โมนขึ้น สารนี้จะกระตุ้นเส้นใยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้เส้นใยจัดตัวขึ้นเพื่อเป็นอวัยวะหรือดอกเห็ด สารฮอร์โมนอาจเกิดจากจุลินทรีย์บางชนิดซึ่งทำให้เกิดดอกเห็ดขึ้น
3.การพัฒนาของดอกเห็ดฟาง
1. ระยะเข็มหมุด (pinhead stage)
     เป็นระยะที่เส้นใยรวมกันเป็นจุดขนาดเล็ก มีลีกษณะเป็นจุดก้อนเชื้อรา สีขาว เกิดหลังการเพาะ 4 – 6 วัน
2. ระยะกระดุมเล็ก (tiny button stage)
     ระยะกระดุมเล็ก เป็นการเจริญต่อจากระยะเข็มหมุดประมาณ 15 – 30 ชม. เส้นใยมีการรวมกัน และเจริญเป็นลักษณะก้อนกลม ยกตัวสูงขึ้น มีลักษณะเป็นตุ่ม ก้อน หากแกะภายในจะยังแยกแยะส่วนต่างไม่ได้
3. ระยะกระดุม (button stage)
        เป็นระยะที่เจริญต่อจากระยะกระดุมเล็ก 12 – 20 ชม. ตุ่มเห็ดขยายขนาดใหญ่ขึ้นมองเห็นเป็นก้อนเห็ดชัดเจน มีรูปทรงกลมหรือรี ฐานดอกโต ปลายโค้งมนเล็กลง หากแกะด้านในจะเห็นส่วนต่างแยกกันอย่างชัดเจน
4. ระยะรูปไข่ (egg stage)
      ดอกเห็ดเจริญในส่วนก้านดอก ก้านดอกแทงยาวขึ้น ทำให้มีลักษณะเป็นดอกตูม รูปทรงรี ไม่มีลักษณะกลมเหมือนในระยะที่ 2 และ3 โดยหมวกเห็ดจะขยายออกด้านข้าง ปลอกหุ้มบางลง และยืดตัว แต่ยังไม่แตกหรือปริออกจากหมวกเห็ดระยะรูปไข่
5. ระยะยืดตัว (elongation stage)
      เป็นระยะที่ต่อจากระยะรูปไข่ประมาณ 3 – 5 ชม. ก้านดอกแทงยาวมากทำให้ปลอกหุ้มแตกออกจากหมวกเห็ด สามารถมองเห็นก้านดอกอย่างชัดเจน หมวกเห็ดขยายออกด้านข้าง แต่ขอบดอกยังหุบลง ไม่กางแผ่
6. ระยะดอกบาน (mature stage)
      เป็นระยะที่เจริญต่อจากระยะยืดตัวประมาณ 2 – 4 ชม. ก้านดอกแทงยาวอย่างรวดเร็ว ทำให้ก้านดอกมีขนาดเล็กลง หมวกเห็ดเจริญ กางแผ่เต็มที่ ปลอกหุ้มอยู่บริเวณโคนก้าน มีขนาดบาง และเล็กลงมาก และครีบบริเวณใต้หมวกเห็ดมีการสร้างสปอร์ และปล่อยสปอร์ไปตามลม สีครีบเข้มขึ้นจนคล้ำ  ก้านดอกอ่อน และเหี่ยวลง ผิวด้านบนดอกเริ่มปริแตก และอ่อนตัว ขอบดอกย่นหรือปริแตก
4.วัสดุอุปกรณ์ในการเพาะเห็ดฟางในตะกร้า
1.ก้อนเชื้อเห็ดฟาง            2.รำละเอียด
3.เชื้อเห็ดฟาง                    4.ผักตบชวา
5.ฟางข้าว                          6.ตะกร้า
7.สุ่มไก่                             8.แผ่นพลาสติกใส
5. วิธีการเพาะเห็ดฟาง
    การเพาะเห็ดฟาง  อาจแบ่งได้ 5 วิธี  ดังนี้
1.วิธีการเพาะเห็ดฟางแบบกองสูง
2.วิธีการเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ยอาจแบ่งวิธีการเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ยตามชนิดของวัสดุที่ใช้เพาะได้เป็นวิธีการย่อยได้อีก  เช่น
2.1 การเพาะเห็ดฟางด้วยการใช้ฟางข้าวเป็นวัสดุเพาะ
2.2 การเพาะเห็ดฟางด้วยการใช้ทะลายปาล์มน้ำมันเป็นวัสดุเพาะ
2.3 การเพาะเห็ดฟางด้วยการใช้เปลือกถั่วเขียวเป็นวัสดุเพาะ
2.4 การเพาะเห็ดฟางด้วยการใช้เปลือกถั่วเหลืองเป็นวัสดุเพาะ
2.5 การเพาะเห็ดฟางด้วยการใช้เปลือกมันสำปะหลังเป็นวัสดุเพาะ
2.6 การเพาะเห็ดฟางด้วยการใช้ขี้เลื่อยไม้ยางพาราเป็นวัสดุเพาะ
2.7 การใช้เห็ดฟางด้วยการใช้ก้อนขี้เลื่อยที่เคยเพาะเห็ดนางรมหรือเห็ดนางฟ้าหรือเห็ดฮื้อมาแล้วเป็นวัสดุเพาะ
นอกจากนี้ยังใช้วัสดุอื่นๆเป็นวัสดุเพาะ เช่น  ชานอ้อย  ไส้นุ่น  ผักตบชวา  ต้นกล้วยสดหั่นตากแห้ง  จอกหูหนู  ต้นข้าวโพด  เปลือกฝักข้าวโพด  ระแง้ข้าวฟ่าง  และเศษหญ้าแห้ง เป็นต้น
3.วิธีการเพาะเห็ดฟางแบบอุตสาหกรรม  หรือแบบโรงเรียนวิธีการเพาะเห็ดฟางทั้ง3วิธีการนี้ เป็นการเพาะเห็ดฟางแบบเดิมที่เกษตรกรปฏิบัติการมานานแล้ว
4. การเพาะเห็ดฟางในตะกร้า เป็นวิธีการเพาะที่มีความประณีตสูงและสามารถใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ช่วยในการเพาะได้  เช่น  การติดตั้งเครื่องทำความร้อนและการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ
5. วิธีการเพาะเห็ดฟางในถุง เป็นวิธีการเพาะเห็ดฟางที่ง่ายมาก ต้นทุนในการผลิตต่ำ ให้ผลตอบแทนสูงสามารถเพาะได้ดีในระดับครัวเรือนและระดับเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ได้
6.ปัจจัยที่มีผลต่อการเพาะ เห็ดฟาง
                เห็ดฟางจะเจริญพัฒนาไปได้ดีมากน้อยเพียงไรนั้นขึ้นกับ ปัจจัยสำคัญ 4 ประการ คือ 1.วัสดุที่ใช้เพาะเห็ดฟาง 2.ความเป็นกรด ด่างของวัสดุเพาะเห็ดฟาง 3.เชื้อเห็ดฟาง 4.สภาพแวดล้อม
1. วัสดุที่ใช้เพาะเห็ดฟาง
                วัสดุที่ใช้เพาะเห็ดฟางเป็นปัจจัยที่สำคัญปัจจัยหนึ่ง วัสดุที่ใช้มีหลากหลายชนิด จากหลายแหล่งปริมาณผลผลิตของเห็ดฟางขึ้นอยู่กับคุณภาพของวัสดุ การเลือกวัสดุที่ดีมาใช้ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเพาะเห็ดฟาง
                1.1 ชนิดของวัสดุ วัสดุที่ใช้เพาะเห็ดเรียกว่า สับสเตรท” (substrate) เห็ดฟางสามารถใช้อาหารจากวัสดุที่นำมาใช้เพาะเห็ดฟางได้หลายชนิด ได้แก่ ฟางข้าว เปลือกฝักถั่วเขียว ใบถั่วเขียว ต้นถั่วเขียว ต้นถั่วเหลือง เปลือกฝักถั่วเหลือง ใบถั่วเหลือง ชานอ้อย ไส้นุ่น ผักตบชวา ต้นกล้วยสดหั่นตากแห้ง จอกหูหนู ต้นข้าวโพด เปลือกฝักข้าวโพด ระแง้ข้าวฟ่าง เศษหญ้าแห้ง ขี้ฝ้าย เปลือกเม็ดฝ้ายกากเปลือกมันสำปะหลัง ทะลายปาล์มน้ำมัน ก้อนวัสดุที่ผ่านการเพาะเห็ดนางรม เห็ดนางฟ้าหรือเห็ดเป๋าฮื้อมาแล้วขี้เลื่อยจากไม้ยางพารา เปลือกเงาะ และเปลือกทุเรียน เป็นต้น
                วัสดุที่ใช้เพาะเห็ดฟาง ต้องเป็นวัสดุที่ย่อยได้ง่าย ปราศจากจุลินทรีย์ที่เป็นปฏิปักษ์ ต่อเชื้อเห็ดฟาง เช่น สารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา และสารเคมีกำจัดวัชพืช ช่วยให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้เพาะเห็ดฟางและผู้บริโภคเห็ดฟาง
                1. ฟางข้าว หมายถึง ฟางข้าวนวดของข้าวเหนียวหรือข้าวเจ้าก็ได้ ตอซังข้าวจะสามารถนำไปใช้เพาะเห็ดฟางได้ง่ายกว่าปลายฟาง ปัจจุบันมีการซื้อขายฟางข้าวมัดเป็นฟ่อนกันแล้ว การนำฟางข้าวมาใช้เพาะเห็ดฟาง ต้อพิจารณาว่าต้องไม่ใช่ฟางข้าวที่ได้จากแปลงนาที่ใช้สารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา เพราะสารเคมีนั้นจะติดมากับฟางข้าว ซึ่งใช้เพาะเห็ดฟางไม่ค่อยได้ผล
                2. เปลือกถั่วต่างๆ ได้แก่ เปลือกถั่วของฝักถั่วเขียว และเปลือกถั่วเหลือง สามารถนำมาใช้เพาะเห็ดฟางได้ผลดี ไม่แพ้วัสดุเพาะอย่างอื่น เปลือกถั่วที่จะนำมาเพาะเห็ดฟางควรเป็นเปลือกถั่ว ที่แห้งสนิท ไม่เปียกฝนหรือเน่าจนสลายตัวแล้ว ต้องไม่มีเชื้อราขึ้น และไม่ควรใช้เปลือกถั่วที่เก็บมาใหม่หรือสดเกินไปเนื่องจะเกิดการหมักจนมีความร้อน ทำให้เชื้อเห็ดฟางตายได้ ควรนำเปลือกถั่วไปตากแดดให้แห้งเสียก่อน แล้วเก็บเปลือกถั่วไว้เป็นกองหรือบรรจุไว้ในกระสอบทิ้งไว้อย่างน้อยสัก 1 เดือน
                3. ขี้ฝ้าย เป็นเศษฝ้ายที่ได้จากโรงงานปั่นด้ายรวมกันเรียกว่า ขี้ฝ้าย หรือกากขี้ฝ้าย ซึ่งอาจแบ่งได้ 2 ชนิด คือ ขี้ฝ้ายดอก และขี้ฝ้ายปึกหรือขี้ฝ้ายกระสือ
                ขี้ฝ้ายดอก เป็นขี้ฝ้ายที่อยู่ใต้เครื่องจักรจะถูกคัดออก เนื่องจากเป็นฝ้ายปุยสั้น ส่วนนี้มีอาหารเห็ดอยู่มาก มีส่วนของฝุ่นหนัก เศษสมองหรือเปลือกฝ้ายติดอยู่ มีราคาสูง ขี้ฝ้ายชนิดนี้สามารถนำมาใช้เพาะเห็ดฟางได้ดี ได้ผลผลิตสูง
                ขี้ฝ้ายปึกหรือขี้ฝ้ายกระสือ เป็นขี้ฝ้ายเบาละเอียด คล้ายสำลีเปื้อนฝุ่น จะอัดเป็นก้อนหรือแผ่นใหญ่ มีอาหารเห็ดน้อย จะตีขี้ฝ้ายปึกให้ฟูได้ยาก ถ้าจะใช้เพาะเห็ดฟางก็ต่อเมื่อขี้ฝ้ายมีราคาแพง ปกติน้ำขี้ฝ้ายปึกมาผสมกับขี้ฝ้ายดอกอัตรา 1 : 2 หรือผสมกับเปลือกถั่วเขียว เปลือกมันสำปะหลัง กากเปลือกเม็ดฝ้าย อัตรา 1 : 1
                นอกจากนี้ยังมี กากเปลือกเมล็ดฝ้าย คือ เปลือกของเมล็ดฝ้าย ที่สกัดน้ำมันออกแล้ว สามารถนำมาเพาะเห็ดฟางได้
                4. ไส้นุ่น คือส่วนแกนกลางของผลนุ่นที่เมื่อเอาปุยและเมล็ดนุ่นออกไปแล้ว อาจรวมถึงส่วนที่เป็นเปลือก เส้นใยนุ่น และแกนกลางของผลนุ่น บดเป็นชิ้นเล็กๆ รวมเรียกว่า ไส้นุ่นได้ไส้นุ่นสามารถใช้เป็นอาหารเสริมหรือวัสดุเพาะ ปัจจุบันนำไส้นุ่นมาทำเชื้อเห็ดเท่านั้น เนื่องจากไส้นุ่นหายากและราคาแพง
                5. ผักตบชวา ใช้ผักตบชวาทั้งสดและแห้ง ใช้ได้ทุกส่วน ควรเลือกผักตบชวาที่แก่เต็มที่ ซึ่งจะมีธาตุอาหารสูง อาจสับเป็นชิ้นเล็กๆ ประมาณ 1 – 2 เซนติเมตร สับในลักษณะเฉียง ลักษณะของผักตบชวาที่เตรียมไว้เช่นนี้เพื่อให้เป็นอาหารเสริม หากจะนำมาใช้เป็นวัสดุเพาะเห็ดฟาง ต้องเลือกต้นผักตบชวาและปฏิบัติให้ถูกต้อง กล่าวคือ ผักตบชวาต้นขนาดใหญ่มีก้านใบยาวมาก ต้องตัดเป็นท่อนก่อน ตัดให้ก้านใบยาวประมาณ 10 เซนติเมตร ส่วนต้นขนาดเล็ก ไม่จำเป็นต้องตัดเป็นเป็นท่องให้นำไปตากแดดได้เลย ใช้ได้ทั้งต้นและราก การใช้รากร่วมกับต้นหรือก้านใบ ช่วยให้ผลผลิตเห็ดฟางที่เพาะได้ปริมาณมากและมากกว่าการใช้ก้านใบเพียงอย่างเดียว ควรนำต้นผักตบชวาหรือก้านใบที่ตัดเป็นท่อนแล้วไปตากแดดและพลิกกลับทุกวัน ตากไว้ 4 วัน จะนำไปเพาะเห็ดฟางได้ผลผลติสูงที่สุด
6. ต้นและใบข้าวโพด เป็นส่วนที่ได้จากภายหลังจากเก็บเอาฝักข้าวโพดออกแล้ว ใช้เพาะเห็ดได้ผลดีไม่แพ้การใช้ฟางข้าวหรืออาจดีกว่า แต่ควรสับหรือตีต้นข้าวโพดให้แตกเป็นเล็กๆ เสียก่อน แล้วจึงเอาไปแช่น้ำ 1 คืน จึงนำไปใช้เป็นวัสดุเพาะเห็ดฟาง
7. ชานอ้อย เป็นส่วนที่นำเอาต้นอ้อยไปคั้นเอาน้ำอ้อยออกแล้ว ส่วนที่เหลือคือ กากหรือชานอ้อยสามารถนำมาใช้เพาะเห็ดฟางได้ ชานอ้อยที่หีบน้ำอ้อยออกแล้วนำทั้งต้น ให้นำมาหั่นให้สั้น 3-5 เซนติเมตร ซึ่งมีเครื่องสำหรับหั่นชานอ้อยสดตากแห้งเพื่อนำชานอ้อยไปทำกระดาษ (หากไม่หั่นชานอ้อยให้เป็นชิ้นเล็กๆ ดังกล่าวจะแช่น้ำให้น้ำซึมเข้าชานอ้อยได้ยาก)แล้วนำมาตาแดดให้แห้งอาจเรียกว่า ซานอ้อยสดตากแห้งก่อนใช้เพาะเห็ดฝางต้องนำไปแช่น้ำสัก 1 คืน ผสมชานอ้อยกับผักตบชวาตากแห้งหรือกล้วยตากแห้งช่วยให้การดูดซึมน้ำของชานอ้อยดีขึ้น แล้วนำไปหมักก่อนใช้เพาะเห็ดฟาง ส่วนชานอ้อยที่โรงงานหีบอ้อยผลิตออกมาเรียกว่า ฟิวเจอร์เค้ก” (future cake) หรือขี้เค้กอ้อย มีสีน้ำตาลถึงสีดำ มักมีสารฟอกสีติดมาด้วย ต้องนำไปทำการหมักด้วยจุลินทรีย์ อีเอ็ก 1-2 วัน แล้วจึงนำไปใช้เพาะเห็ดฟาง
8. เปลือกมันสำปะหลัง เป็นเปลือกของมันสำปะหลัง ได้จากโรงงานแป้งมันสำปะหลัง โดยที่หัวมันที่จะนำเข้าเครื่องตี ต้องลำเลียงหัวมันเข้าไปขัดผิวก่อน แล้วร่อนเอาเศษดินและเปลือกออกเปลือกและดินที่ได้เรียกว่า เปลือกดินเมื่อจะนำหัวมันไปบดให้ละเอียดต้องนำไปล้างด้วยการฉีดน้ำและเข้าเครื่องขัดผิวหัวมันดิน ทำให้เปลือกหลุดออกมา เปลือกที่ได้ เรียกว่า เปลืองล้างเปลือกมันจะมีแป้ง และคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบอยู่สามารถนำไปใช้เพาะเห็ดฟางได้อย่างดี แต่เปลือกมันสำปะหลังที่ยังสดนั้นมีพวกไซยาไนย์ ในปริมาณมาก ควรนำไปทำให้แห้งหรือผ่านการหมักก่อนจุลินทรีย์ในธรรมชาติจะย่อยสลายสารไซยาไนย์ได้เปลือกมันสำปะหลัง นำมาเพาะเห็ดได้ผลดี ปลอดภัยจากสารเคมีที่เป็นพิษ
9. ทะลายปาล์มน้ำมัน ทะลายปาล์มน้ำมันที่เอาผลปาล์มน้ำมันออกแล้วใช้เป็นวัสดุเพาะ เห็ดฟางได้ผลผลิตสูงและทนทาน ส่วนของใยที่ได้จากการหีบเอาน้ำมันปาล์มจากผลแล้ว ก็สามารถนำมาเพาะเห็ดฟางได้เช่นกัน ข้อเสียในการใช้ทะลายปาล์มน้ำมันมาเพาะเห็ดฟางก็คือ เห็ดฟางมักมีกลิ่นของทะลายปาล์มซึ่งเป็นกลิ่นที่ไม่เป็นที่พึงประสงค์ของผู้บริโภคนักและเมื่อผลผลิตเห็ดเกิดขึ้น ผู้เก็บเห็ดมักประสบปัญหาถูกหนามที่ทะลายปาล์มแทงมือทำให้บาดเจ็บได้
10. วัสดุที่ผ่านการเพาะเห็ดมาแล้ว เห็ดที่เพาะในวัสดุเพาะบรรจุถุง เช่น เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า เห็ดนางรมฮังการี่ เห็ดหูหนู เห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดขอนขาว และเห็ดลม เป็นต้น เห็ดเหล่านี้สามารถย่อยอาหารเชิงซ้อนได้ ซึ่งเห็ดฟางไม่สามารถย่อยได้ วัสดุที่ใช้เพาะเห็ดดังกล่าวนี้สามารถนำมาใช้เพาะเห็ดฟางได้ โดยบดให้ละเอียด ส่วนวัสดุบรรจุถุงที่มีเชื้อราอื่น ๆ เช่น เป็นราดำ ราเขียว ราเหลือง ราขาว เป็นต้น อาจจัดเป็นวัสดุที่เสียแล้ว ซึ่งใช้เพาะเห็ดต่าง ๆ ดังกล่าวไม่ได้ ไม่ควรนำมาใช้เพาะเห็ดฟางเช่นกัน
11. ก้านกล้วยและใบตองแห้ง เป็นวัสดุที่ใช้เพาะเห็ดฟางได้ดีเช่นกัน บางครั้งเอาหยวกกล้วยมาสับให้เป็นชิ้นตากแดดให้แห้ง สามารถนำมาใช้เพาะเห็ดฟางได้
12. ขี้ม้า ขี้วัวและขี้ควายแห้งป่น สามารถใส่ลงในวัสดุเพาะเห็ดฟางได้ โดยใส่และต้องกดให้แนบกับวัสดุเพาะเห็ดไว้เพาะเห็ดฟางได้
13.ขี้เลื่อยไม้ยางพารา สามารถใช้เพาะเห็ดฟางได้
14. เปลือกทุเรียน มีผู้นำมาสับให้มีขนาดเล็กลงมีขนาดประมาณ 1-2 นิ้ว จะตากให้แห้งหรือสดก็นำมาใช้เพาะเห็ดฟางได้
นอกจากนี้ยังมีวัสดุอื่น ๆ ที่สามารถพัฒนามาเป็นวัสดุเพาะเห็ดฟางได้เป็นอย่างดี ได้แก่ ขี้เลื่อยไม้ยางพารา โคนต้นไม้มันสำปะหลังบด และเศษหญ้าทั่วไปเป็นต้น
1.2 แหล่งของวัสดุ วัสดุเพาะเห็ดฟางมีแหล่งที่มาที่สำคัญ 4 แหล่ง ได้แก่
1. วัสดุที่เหลือทิ้งจากการเกษตร เช่น ฟางข้าว ตอซัง ต้นข้าวโพด ต้นกล้วย เปลือกถั่วเขียว และเปลือกถั่วเหลือง เป็นต้น เนื่องจากวัสดุเช่นนี้ปีๆ หนึ่งมีเป็นจำนวนมาก มีแหล่งผลิต อยู่ในท้องถิ่นหรืออยู่ในแหล่งใกล้เคียง สามารถจัดหาซื้อได้ง่าย อยู่ในแหล่งที่มีการคมนาคมที่สะดวก มีค่าขนส่งที่ไม่แพงนัก ภาคเหนือ มีวัสดุเหลือทิ้งจากการเกษตรหลายชนิด เช่น เปลือกถั่วแขก เปลือกมันสำปะหลัง ต้นกล้วยและต้นข้าวโพด เป็นต้น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีวัสดุเหลือทิ้งจากการเกษตรหลายชนิด เช่น เปลือกถั่วเขียว ตอซัง ฟางข้าว ต้นข้าวโพด ภาคกลาง มีวัสดุเหลือทิ้งจากการเกษตร เช่น ฟางข้าว ตอซังข้าว และก้อนขี้เลื่อยที่ผ่านการเพาะเห็ดรม เห็ดนางฟ้ามาก่อน เป็นต้น ภาคใต้ มีวัสดุเหลือทิ้งจากการเกษตรเช่น ทะลายปาล์ม ขี้เลื่อยไม้ยางพารา ขี้เลื่อยไม้เนื้ออ่อนเป็นต้น
2. วัสดุเหลือทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมเกษตร เช่น เปลือกมันสำปะหลัง กากผลปาล์มชานอ้อยที่เรียกว่า ฟิวเจอร์เค้ก (future cake)(คือชานอ้อยที่ถูกทิ้งไว้จนมีสีน้ำตาลเข็มถึงสีดำ) ขี้ฝ้ายต้นข้าวโพดที่ปลูกไว้เพื่อใช้ฝักอ่อน เป็นต้น เนื่องจากวัสดุเหลือทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมเกษตรปีหนึ่งๆ มีเป็นจำนวนมาก มีโรงงานอยู่ในท้องถิ่น สามารถจัดซื้อหาได้ง่าย
3. วัสดุหลังเพาะเห็ดฟางและวัสดุหลังเพาะเห็ดถุง ดังจะกล่าวรายละเอียดต่อไปนี้
4. วัสดุตามธรรมชาติในท้องถิ่น เช่น ผักตบชวา จอกหูหนูและเศษหญ้าแห้ง เป็นต้น
1.3 ข้อพิจารณาเลือกวัสดุที่จะนำมาใช้เพาะเห็ดฟาง วัสดุเพาะเห็ดฟางเป็นวัสดุหลักที่ต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมต่อเชื้อเห็ดฟางที่จะเจริญเป็น ดอกเห็ดให้เก็บเกี่ยวได้ และผู้เพาะเห็ดฟางสามารถจัดหาวัสดุเพาะเห็ดฟางได้สะดวกตามความต้องการ ดังนั้นจึงควรพิจารณาเลือกวัสดุที่จะนำมาใช้เพาะเห็ดฟางดังนี้
1. ควรเป็นวัสดุใหม่มีอายุไม่นานเกินไปและเป็นวัสดุที่ไม่ค่อยมีการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์ เช่นเชื้อราต่าง ๆ อาจดูได้ว่าวัสดุที่มีเชื้อราปนเปื้อนมีลักษณะเป็นจุดหรือเป็นปื้นสีดำ สีเขียว สีเหลือง สีแดง เป็นต้น วัสดุที่มีเชื้อแบคทีเรียปนเปื้อนซึ่งผู้เพาะเห็ดฟางจะรู้ได้จากการเกิดกลิ่นเหม็นจากวัสดุเพาะนั้น ซึ่งเชื้อราและ เชื้อแบคทีเรียจะเป็นอันตรายต่อเชื้อเห็ดฟาง การป้องกันการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ลงในวัสดุเพาะใหม่ๆ เช่น เปลือกถั่วเขียว ฟางข้าว ต้องนำมาตากแดดให้แห้ง และเก็บรักษาให้ดีไม่ให้ถูกฝนหรือความชื้นจึงจะใช้เป็นวัสดุเพาะเห็ดฟางได้นานหลายเดือน
2.ควรเป็นวัสดุที่เชื้อเห็ดฟางสามารถเข้าย่อยได้ง่ายและอาศัยเจริญเติบโตได้ดี คือ เป็นวัสดุที่อ่อนนุ่ม ดูดซับน้ำได้ดี ผุพังได้เร็ว เป็นต้น ไม่มีกลิ่นเหม็น หรือฉุน ซึ่งกลิ่นนี้จะเป็นพิษต่อเชื้อเห็ดฟาง เป็นวัสดุที่เมื่อถูกแช่น้ำให้มีความชื้นพอสมควรจะสามารถบีบกดให้แนบแน่นต่อเนื่องกัน ไม่เกิดเป็นโพรงมากนัก และสามารถคงตัวอยู่ได้นาน ไม่ย่อยหรือยุ่ยได้ง่ายเกินไปลักษณะเช่นนี้เชื้อเห็ดฟางจึงจะเจริญได้ดี ตัวอย่างกรณีฟางข้าวเปรียบเทียบกับต้นถั่วเหลือง ฟางข้าวเมื่อมีความชื้อพอสมควรเมื่อถูกบีบกดจะแนบแน่นต่อเนื่องกัน ช่วยให้เชื้อเห็ดฟางสามารถเจริญได้เป็นอย่างดีส่วนต้นถั่วเหลืองเมื่อมีความชื้นพอสมควร เมื่อถูกบีบกดจะไม่แนบแน่นต่อเนื่องกัน แต่จะคืนตัวทำให้เกิดช่องว่างหรือมีโพรงใหญ่ในก้อนของต้นถั่วเหลืองนั้น ทำให้เชื้อเห็ดฟางไม่อาจเจริญได้อย่างต่อเนื่องกัน จึงใช้เพาะเห็ดฟางได้ไม่ดี ส่วนชานอ้อยก็มีลักษณะเช่นเดียวกับต้นถั่วเหลือง ดังนั้นจึงต้องนำมาย่อยให้เป็นชิ้นส่วนที่เล็กลง จึงจะนำมาใช้เพาะเห็ดฟางได้ ส่วนวัสดุเพาะที่เมื่อนำมาใช้เพาะเห็ดฟางแล้วมีลักษณะอัดตัวกันแน่นจนไม่มีช่องว่างหรือช่องว่างน้อยก็จะใช้เพาะเห็ดฟางไม่ได้ผลเช่นกัน เพราะว่าเชื้อเห็ดฟางเจริญในสภาพดังกล่าวไม่ได้
3.ควรเป็นวัสดุที่มีสารอาหารเห็ดฟางเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของเชื้อเห็ดฟาง ซึ่งมีผลต่อปริมาณผลผลิต คุณภาพ รสชาติของเห็ดฟาง ผู้เพาะเห็ดฟางต้องสอบถามหรือศึกษาว่าวัสดุนั้นเคยมีผู้นำมาใช้เพาะเห็ดฟางให้ผลผลิตได้มากน้อยเพียงไร หากเพาะเห็ดฟางได้ปริมาณมาก แสดงว่าวัสดุนั้นมีอาหารมากพอเพียงต่อการเจริญของเชื้อเห็ดฟาง ส่วนมากก็เป็นวัสดุชนิดต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้วในเรื่อง แหล่งที่มาของวัสดุเพาะเห็ดฟาง
4. เป็นวัสดุที่สามารถเก็บรักษาหรือรอเวลานำไปใช้ได้นาน เช่น สามารถเก็บรักษาได้อย่างน้อยต้องนานกว่า 2-3 เดือน เป็นต้น โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก คือ ไม่เน่าหรือไม่เปลี่ยนรูปไปมาก หรือไม่มีกลิ่นฉุนขึ้น เป็นต้น และการเก็บรักษาวัสดุเพาะนั้นก็ต้องไม่ใช้วิธีการที่ยุ่งยากนัก เช่น ไม่ถึงกับต้องไว้ในสถานที่เฉพาะที่อุณหภูมิคงที่ ความชื้นที่คงที่ เป็นต้น
5. เป็นวัสดุที่ไม่มีสารเคมีที่เป็นพิษต่อเชื้อเห็ดฟางและผู้บริโภคหรือผู้ผลิต ได้แก่ สารเคมีป้องกันจำกัดแมลงศัตรูพืช สารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา และสารเคมีกำจัดวัชพืช เป็นต้น การที่จะรู้ว่าเป็นวัสดุที่ปราศจากสารเคมีดังกล่าวหรือไม่ อาจจะรู้โดยการสอบถามผู้ที่เป็นเจ้าของวัสดุนั้นมาก่อน หรือผู้ผลิตวัสดุนั้น
2.ความเป็นกรด ด่างของวัสดุที่ใช้เพาะเห็ดฟาง
สภาพความเป็นกรด ด่างในวัสดุ วัสดุที่ใช้เพาะเห็ดฟางมีสิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ สภาพความเป็นกรด ด่าง ใช้เป็นค่าพีเอช (PH) กล่าวคือ พีเอชกลางมีค่าเท่ากับเจ็ด ถ้าพีเอชต่ำกว่าเจ็ด แสดงความเป็นกรดซึ่งมีรสเปรี้ยว ค่าพีเอชเป็น 6 5 4 3 2 1 เลขยิ่งมีค่าต่ำแสดงว่าเป็นกรดยิ่งมาก ค่าพีเอชมากกว่าเจ็ดแสดงความเป็นด่างมากขึ้นถึงค่า 14 แสดงว่าด่างมากที่สุด ความเป็นด่างมีรสฝาดและไม่เหมาะที่จะเพาะเห็ด เห็ดชอบความเป็นกลาง คือ มีพีเอช 7 หรือเป็นกรดเล็กน้อยหรือกรดอ่อนๆ
ดังนั้นในอาหารหรือวัสดุที่ใช้เพาะเห็ดฟางควรมีสภาพเป็นกรดอ่อนถึงระดับมีค่าเป็นกลาง ถ้ามีค่าความเป็น กรด ด่าง สูงหรือต่ำมากจะทำให้เส้นใยไม่เจริญเติบโต การจะทราบสภาพความเป็น กรด ด่าง ของวัสดุเพาะเห็ดฟางได้ ต้องนำไปตรวจสอบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ จึงจะรู้ผลได้ถูกต้อง แม่นยำ วัสดุที่นำมาใช้เพาะเห็ดฟางนั้นหากเป็นวัสดุปกติจะไม่มีปัญหาเรื่องสภาพความเป็นกรด ด่าง สามารถนำมาเพาะได้ดี แต่จะพบปัญหาด้านความเป็นกรด ด่าง ในวัสดุที่มีการปนเปื้อนสารเคมีบางชนิด เช่น เมื่อถูกฉีดพ่นด้วยสารเคมีป้องกันกำจัดเชื้อรา สารเคมีป้องกันกำจัดแมลง สารเคมีป้องกันกำจัดวัชพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งสารเคมีที่เป็นชนิดดูดซึมและวัสดุที่มีการใส่ปุ๋ยเคมี เช่น ปุ๋ยยูเรีย เป็นต้นและเกิดจากการนำน้ำเน่าเสียหรือน้ำที่มีสารเคมีบางชนิดมาราดผสมหรือฉีดพ่นหรือแช่วัสดุเพาะเห็ดฟางนั้น สารเคมีในน้ำที่พบว่ามีปัญหาต่อความเป็น กรด ด่าง ของวัสดุเพาะเห็ด และเมื่อนำไปเพาะเห็ดฟางแล้วปรากฏว่า เพาะเห็ดฟางไม่ได้ผล ได้แก่ สารส้ม สารคลอรีน และเกลือ เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องหลีกเลี่ยงการทำให้วัสดุเพาะเห็ดฟางปนเปื้อนสารเคมีต่าง ๆ ซึ่งถ้าหลีกเลี่ยงปัญหาไม่ได้จึงต้องหาทางแก้ไขต่อไป
การแก้ปัญหาที่วัสดุมีสภาพความเป็น กรด ด่าง ไม่เหมาะสม อาจแก้ไขได้ด้วยการปฏิบัติดังนี้
1.             การนำวัสดุเพาะเห็ดฟางไปแช่น้ำ ซึ่งเป็นน้ำสะอาด ปราศจากสารเคมีดังกล่าว น้ำจะช่วยชะล้างสารเคมีออกได้มาก
2.             การนำวัสดุเพาะเห็ดฟางไปตากแดดให้แห้ง สารเคมีจะถูกความร้อนทำลายหรือเปลี่ยนรูปไปหรือระเหยไปกับความชื้น
3.             การนำวัสดุเพาะเห็ดฟางไปอบนึ่งด้วยความร้อน ซึ่งเป็นการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์พร้อมกันไป
4.             การให้ความชื้นและใส่อีเอ็มหรือเชื้อแบคทีเรียที่มีประโยชน์ เช่น เชื้อแบคทีเรีย บาซิลลัส ซับติลิส (Bacillus subtilis) เป็นต้น แล้วหมักเชื้อไว้ระยะหนึ่ง ช่วยลดปัญหาดังกล่าวแล้วได้มาก
3.เชื้อเห็ดฟาง
ผู้เพาะเห็ดฟางควรรู้ลักษณะของเชื้อเห็ดฟางและการเลือกซื้อเชื้อเห็ดฟางที่ดี เพื่อให้ได้ผลผลิตเห็ดฟางที่คุ้มค่ากับการลงทุน
3.1 ลักษณะของเชื้อเห็ดฟาง เชื้อเห็ดฟางที่มีจำหน่ายโดยทั่วไป มีลักษณะหลากหลาย ดังนี้
1. เชื้อเห็ดฟางที่บรรจุในถุงพลาสติกที่จะนำมาเพาะ ถ้าเป็นเชื้อเห็ดที่ได้จากการต่อเชื้อมาหลายช่วงมาก ๆ ดอกเห็ดที่เพาะได้มักมีขนาดเล็กลง และออกดอกจำนวนมาก ดอกเห็ดโตเร็ว และบานเร็ว
2. เชื้อเห็ดฟางที่จำหน่ายที่มีเส้นใยที่เจริญเติบโตดีทางด้านเส้นใยเท่านั้น แต่ให้ดอกเห็ดน้อยมาก สังเกตได้จากเส้นใยเช่นนี้ เส้นใยมีสีค่อนข้างขาวเจริญเติบโตเร็ว ไม่ค่อยสร้างคลามิโดสปอร์ให้เห็น เส้นใยชนิดนี้อาจเรียกว่า เส้นใยเป็นหมันหรือเชื้อเห็ดเป็นหมัน
3. เชื้อเห็ดฟางที่เมื่อเริ่มแก่เล็กน้อยซึ่งจะสร้างคลามิโดสปอร์ พบเป็นจุดสีน้ำตาล หรือแดงเล็กน้อย หรือบางครั้งพบเป็นจุดกลุ่มสีขาวแก่ เส้นใยเหล่านี้จะไม่เป็นหมัน
3.2 การเลือกเชื้อเห็ดฟางมาเพาะ ควรเลือกเชื้อเห็ดฟางที่ดี ซึ่งมีลักษณะดังนี้
1.เลือกซื้อที่ไม่อ่อนเกินไป โดยเชื้ออ่อนจะเป็นเส้นใยขาวฟู แต่เจริญไม่ถึงก้นถุง
2.เส้นใยต้องไม่มีอายุมากเกินไป เห็นได้จากเชื้อในถุงยังไม่ยุบตัวลงหมดหรือสลายตัวเป็นน้ำสีเหลืองติดเป็นหยดๆ
3. วัสดุในถุงเลี้ยงเชื้อนั้นต้องไม่เละ ไม่เปียกสังเกตว่าต้องไม่มีน้ำแฉะที่ก้นถุง หรือมีน้ำหนักมากกว่าปกติ (ปกติบรรจุวัสดุเลี้ยงเชื้อถุงละ 300 – 350 กรัม) ซึ่งจะทำให้เชื้อเจริญไม่เต็มถุง
4. วัสดุเลี้ยงเชื้อในถุงต้องเกาะกันเป็นก้อนมีเส้นใยสานกันแน่นไม่แตก แสดงว่าเส้นใยเห็ดฟางกินวัสดุได้ทั่วถึง มีกลิ่นหอมแบบเห็ดฟาง ต้องไม่เหม็นบูด เหม็นเปรี้ยว หรือกลิ่นอื่น ๆ
5. เส้นใยในถุงบางส่วนอาจสร้างคลามิโดสปอร์ให้เห็นเป็นสีแดง น้ำตาล และขาวขุ่น
6. ไม่มีเชื้อราเขียว ราดำ ราขาว ราเหลืองขึ้นปะปนกับเชื้อเห็ดฟางในถุง
7. ไม่มีแบคทีเรียปะปนในถุงเลี้ยงเชื้อเห็ดฟาง ซึ่งทำให้เกิดกลิ่นเหม็น
8. ต้องไม่มีไรหรือหนอนของแมลงหวี่ แมลงวัน เกิดขึ้นในถุงบรรจุเชื้อเห็ดฟาง
9. อาจมีดอกเห็ดฟางขนาดเล็กๆ ขึ้นในถุงเล็กน้อย ก็ถือว่าใช้เพาะได้ผลดีเช่นกัน
10. เชื้อเห็ดฟางที่ดีมีเส้นใยสีขาวออกนวลเล็กน้อย ลักษณะหยาบไม่ฟู เจริญออกมาจากจุดที่เขี่ยเชื้อไว้และเจริญออกมาอย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งถุง เห็นเส้นใยเจริญหนาแน่นพอสมควร
11. ควรใช้เชื้อเห็ดฟางในถุงมีอายุเกิน 7 วัน แต่เชื้อเห็ดฟางที่ดีควรมีอายุประมาณ 10 วัน เป็นช่วงในฤดูร้อนหรือฤดูฝน ส่วนฤดูหนาวเชื้อเห็ดฟางควรมีอายุ 12 – 14 วัน จึงจะดี ใช้เพาะเห็ดฟางได้ผล
12. ไม่ควรเก็บเชื้อไว้ในตู้เย็น หรือที่ที่มีอุณหภูมิสูงเกิน 40 องศาเซลเซียส
เห็ดฟางสายพันธุ์เบอร์ 1 เหมาะสำหรับเพาะในฤดูร้อน สายพันธ์ญี่ปุ่นดอกจะใหญ่ ส่วนพันธุ์ดอกเล็กเหมาะสำหรับการอัดบรรจุกระป๋อง ปัจจุบันมีการเก็บรักษาสายพันธุ์เห็ดฟางให้คงพันธุ์เดิมไว้ได้แล้วโดยการตัดเนื้อเยื่อจากดอกเห็ดฟาง แล้วแช่ลงในขวดน้ำกลั่นที่ผ่านการนึ่งฆ่าเชื้อด้วยหม้อนึ่งความดันแล้ว
4. สภาพแวดล้อม
สภาพแวดล้อมมีผลต่อการเพาะเห็ดฟางโดยเฉพาะกับการให้ผลผลิตเห็ดฟางทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ รวมทั้งต้นทุการผลิตเห็ดฟางด้วย ผู้เพาะเห็ดฟางควรต้องศึกษาทำความเข้าใจในเรื่องนี้ ซึ่งปัจจัยสภาพแวดล้อมที่สำคัญได้แก่ ความชื้น อุณหภูมิ แสง อากาศลม เมฆ ฝน ควันไฟ โรคและแมลงศัตรูเห็ดฟาง รายละเอียดดังนี้


4.1 ความชื้น ความชื้น มี 2 อย่าง คือ
1. ความชื้นในวัสดุที่เพาะเห็ดฟาง เรียกว่า มอยส์เจอร์” (moisture) การให้ความชื้นกับวัสดุเพาะเห็ดฟางทำได้โดยการรดน้ำหรือแช่วัสดุลงในน้ำ น้ำที่ใช้ต้องปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อเห็ด เช่น เกลือ คลอรีน สารส้ม สิ่งโสโครกจากโรงงานอุตสาหกรรมเป็นต้น ขณะเพาะเห็ดฟาง ความชื้นในวัสดุเพาะเห็ดฟางควรมีประมาณ 60 – 65 เปอร์เซ็นต์ ปกติเมื่อนำวัสดุเพาะจากที่แช่น้ำมาเพาะแล้ว ก็แทบไม่ต้องรดน้ำเพราะวันแรกที่เพาะเห็ดฟางนั้นจะมีความชื้นมากพอจนถึงวันที่เห็ดออกเป็นดอกในราว 7 – 10 วัน การรดน้ำเข้ากองวัสดุเพาะโดยตรง ทำให้เส้นใยที่กำลังเจริญอยู่นั้นเสียหายได้มากกว่าได้ผลดี ปัญหาที่เกิดจากความชื้นมีทั้งด้านความชื้นมากเกินไป และน้อยเกินไปคือ
ถ้าในวัสดุเพาะเห็ดฟางมีความชื้นมากเกินไป เส้นใยจะหายใจไม่ออก เส้นใยเห็ดฟาง จะชุ่มน้ำและตายได้ การให้น้ำมากโดยเฉพาะช่วงที่เกิดดอกเห็ดจะทำให้เส้นใยระหว่างรอยต่อของเห็ดกับเส้นใยในวัสดุเพาะขาดจากกัน จึงไม่สามารถส่งอาหารไปเลี้ยงดอกเห็ดได้ ทำให้ดอกเห็ดฝ่อตายได้ การที่วัสดุเพาะมีความชื้นมากจนเปียกเกินไปทำให้อากาศในวัสดุเพาะลดลงขาดออกซิเจน เส้นใยจะไม่เจริญหรือตายได้ ปัญหาการมีความชื้นมากเกินไปแก้ไขได้ยาก
ถ้าในวัสดุเพาะมีความชื้นต่ำเกินไป เส้นเชื้อเห็ดก็จะขาดน้ำ สารที่เป็นอาหารในวัสดุเพาะไม่ละลายและเกิดการสูญเสียน้ำออกจากเส้นใยหรือดอกเห็ด เส้นใยเห็ดฟางจะแห้งและดอกเห็ดฟางจะกระด้างหรือมีรอยแตก ดอกเห็ดจะไม่เจริญ ปัญหาเรื่องการขาดน้ำในวัสดุเพาะ เห็ดฟางอาจแก้ไขได้โดยการรดน้ำหรือสเปรย์น้ำลงในวัสดุเพาะนั้น
2. ความชื้นในอากาศหรือความชื้นสัมพัทธ์เห็ดฟางต้องการความชื้นสัมพัทธ์ประมาณ 80 – 90 เปอร์เซ็นต์ ปัญหาของความชื้นสัมพัทธ์คือ การมีความชื้นสัมพัทธ์มากหรือน้อยเกินไป
ถ้าในอากาศมีความชื้นน้อย ทำให้เกิดการละเหยน้ำออกจากเส้นใยหรือดอกเห็ด ทำให้ชะงักการเจริญเติบโต เส้นใยเห็ดหรือดอกเห็ดแห้ง การเพิ่มความชื้นในอากาศทำได้โดยการพ่นละอองน้ำในอากาศบริเวณรอบๆ บริเวณที่เพาะเห็ดนั้น หรือรดน้ำบริเวณพื้นภายในกระโจมหรือโรงเรือนเพาะเห็ดฟางหรือถุงเพาะเห็ดฟาง
ถ้าความชื้นในอากาศมากเกินไป สังเกตได้ว่าเส้นใยจะฟูขึ้นแถวโคนดอกเห็ด ดอกเห็ดฉ่ำน้ำ ซึ่งถือว่าเป็นดอกเห็ดคุณภาพต่ำ ซึ่งดอกเห็ดอาจเน่าเสียหาย ดอกเห็ดเกิดน้อยลง ปัญหาความชื้นในอากาศมากแก้ไขได้โดยการให้มีการระบายอากาศมากขึ้น
การควบคุมให้ความชื้นในอากาศมีความคงที่มักใช้แผ่นพลาสติกกรุโดยรอบโรงเรือนและป้องกันไม่ให้มีรูรั่วมากเกินไป ถ้าลมพัดจัดการรักษาความชื้นในสภาพโรงเรือนเพาะหรือในถุงเพาะเห็ดฟางก็จะควบคุมความชื้นได้ลำบากขึ้น เพราะความชื้นมักระเหยออกจากบริเวณเพาะเห็ดได้มาก
                สถานที่เพาะเห็ดที่มีปัญหาลมแรงพัดผ่านเสมอ มักพบปัญหาความชื้นภายในกระโจมหรือโรงเรือนเพาะเห็ดหรือในถุงเพาะเห็ดฟางต่ำเกินไป จึงต้องหาทางป้องกันให้ดี
                ความชื้นสัมพัทธ์มีความสัมพันธ์กับระดับอุณหภูมิ แสง เมฆ ฝน และลม ในสภาพที่เพาะเห็ดฟางอย่างมาก
                4.2 อุณหภูมิ (Temperature) อุณหภูมิที่เป็นสภาพแวดล้อมของเห็ดฟาง มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของเห็ดมาก การเพาะเห็ดฟางได้ผลดีเมื่อเพาะในอุณหภูมิระหว่าง 30-40 องศาเซลเซียส แต่ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่า 40องศาเซลเซียส นั้นเป็นอันตรายหรือหยุดการเจริญเติบโตของเส้นใย อุณหภูมิดีเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของเห็ดฟางระยะต่าง ๆ เป็นดังนี้
                1. สปอร์งอกได้ดีที่อุณหภูมิ 37-40 องศาเซลเซียส
                2. เส้นใยเจริญเติบโตได้ดีที่อุณหภูมิ 35-37 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิสูงกว่านี้ เส้นใยของเห็ดฟางจะฟูมากไม่รวมตัวกัน จึงไม่เกิดระยะเกิดจุดกำเนิดหรือระยะหัวเข็มหมุด ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่านี้เส้นใยเจริญช้า หรือไม่เจริญ
                3. อุณหภูมิที่เหมาะแก่การเกิดดอกเห็ดฟางอยู่ระหว่าง 28-32 องศาเซลเซียส ถ้าอุณหภูมิสูงกว่านี้ดอกเห็ดจะเล็ก เป็นขนที่ผิวดอกเห็ด ดอกเป็นตุ่มขรุขระ คล้ายหนังคางคก ดอกเห็ดบานเร็วและโรยเร็ว ดอกเห็ดฝ่อและเน่าในเวลาต่อมา ถ้าอุณหภูมิต่ำกว่านี้ การเกิดออกเห็ดจะช้าหรือไม่เกิดเลย ข้อสังเกตว่าฤดูร้อนเพาะเห็ดฟาง 7 วัน ก็ออกดอก ฤดูฝนใช้เวลา 8-12 วัน ส่วนฤดูหนาว 15-18 วัน หรือกว่านั้น หรือไม่ออกดอกเลย
                สถานที่เพาะเห็ดฟางที่มีปัญหาลมแรงพัดผ่านเสมอมักพบปัญหาด้านภายในกระโจมหรือโรงเรือนเพาะเห็ดหรือถุงเพาะเห็ดฟางมีอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงต้องหาวิธีป้องกันเรื่องนี้อย่างรอบคอบ อาจใช้แผงจาก แผงแฝก หรือกระสอบหรือตาข่ายสีดำป้องกันลม ทั้งด้านข้างและด้านบนของโรงเรือน
                4.3 แสง เป็นปัจจัยสำคัญ ที่มีผลตรงข้ามกับร่มเงาซึ่งเกิดจากเมฆ ไม้ใหญ่ อาคาร บ้านเรือน หลังคา วัสดุพรางแสง เป็นต้น  ร่มเงามีผลตรงข้ามกับแสง แสงที่มีอิทธิพลต่อการรวมตัวของเส้นใยระยะที่ 2 เพื่อเป็นดอกเห็ดและการเกิดสีของดอกเห็ด
                ในการรวมตัวของเส้นใยระยะที่ 2 เพื่อเป็นดอกเห็ด เส้นใยเห็ดฟางต้องการแสงเพื่อไปกระตุ้นการรวมตัวในราววันที่ 4-6 หลังการโรยเชื้อลงในวัสดุเพาะแล้ว แสงสีฟ้าจะให้ผลมาก ปริมาณแสงที่ต้องการในระยะนี้คือที่ขนาด 80 -150 ลักซ์ หรือประมาณ 25 – 50 แรงเทียน ถ้าเส้นใยได้รับแสงในปริมาณดังกล่าว ช่วยให้เกิดดอกเห็ดดก หรือมาก
                สำหรับการเกิดสีของดอกเห็ดฟางนั้น ถ้าดอกเห็ดฟางได้รับแสงแดดมาก ดอกเห็ดจะมีสีดำหรือสีคล้ำ ถ้าดอกเห็ดอยู่ในที่มืดดอกเห็ดจะมีสีขาว และถ้าอยู่ในที่ที่มีแสงรำไร ดอกเห็ดจะมีสีขาวปนเทา
                แสงแดดมีผลต่อปัจจัยสภาพแวดล้อมอื่นด้วยที่สำคัญคือ แสงแดดมีผลต่ออุณหภูมิภายในกระโจมหรือโรงเรือนเพาะเห็ดฟาง หรือในถุงเพาะเห็ดฟางด้วย หากมีแสงแดดจัดอุณหภูมิในกระโจมหรือโรงเรือนหรือในถุงเพาะเห็ดฟางจะสูง หากต้องการลดอิทธิพลของแสงแดด เพื่อให้อุณหภูมิลดลงบ้างอาจใช้พลาสติกสีเข้มหรือตาข่ายดำ หรือแผงจาก แผงแฝก แผงหญ้าคา หรือกระสอบ ช่วยพรางแสงแดด ซึ่งช่วยลดปัญหาดังกล่าวได้
                นอกจากนี้พบว่าแสงยังมีผลต่อการระเหยของน้ำหรือความชื้นภายในโรงเรือนหรือในถุงเพาะเห็ดฟางด้วย กล่าวคือ เมื่อมีแสงมาก การระเหยของน้ำจะมากขึ้น เป็นต้น

                4.4 อากาศ (Air) อากาศในที่นี้หมายถึงออกซิเจนสำหรับการหายใจ เห็ดฟางทุกระยะการเจริญเติบโตต้องการออกซิเจนในการหายใจ โดยเฉพาะระยะที่สร้างจุดกำเนิดและการพัฒนาการของดอกเห็ดต้องการออกซิเจนมากเป็นพิเศษ ในกระโจมเพาะเห็ดฟางหรือในถุงเพาะเห็ดฟางที่ไม่มีการระบายอากาศในระยะนี้ก็จะเกิดการสะสมของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น เส้นใยจะเจริญช้าหรือชะงักการเจริญเติบโต ทำให้ดอกเห็ดฝ่อและเน่าได้ ดอกเห็ดมีลักษณะสีเหลืองผลผลิตลดลง
                การถ่ายเทอากาศมีความจำเป็นต่อเห็ดฟางระยะกำลังจะเกิดดอกเห็ดและระยะที่เกิดดอกเห็ดทำได้โดยการเปิดวัสดุคลุมออกบ้าง แล้วปิดวัสดุคลุมเหมือนเดิม
                4.5 ลม ลมเป็นการเคลื่อนของอากาศ ลมมีผลต่ออุณหภูมิ ความชื้นของวัสดุเพาะเห็ดฟาง ความชื้นสัมพัทธ์ และการแพร่ระบาดของโรคแมลงศัตรูเห็ดฟาง เป็นต้น ลมแรงทำให้อุณหภูมิ ความชื้นของวัสดุเพาะเห็ดฟาง และความชื้นสัมพัทธ์บริเวณที่เพาะเห็ดฟางลดลง ลมช่วยพัดพาแมลง และโรคให้แพร่กระจายตัวได้มากขึ้น ลมช่วยให้การระบายอากาศได้ดียิ่งขึ้น ลมแรงมากจะพัดทำลายโรงเรือนและสิ่งของให้เสียหายได้ดังนั้นจึงต้องหาทางป้องกันแก้ไขปัญหาลมแรงไว้ด้วย
                4.6 เมฆ ฝน เมฆมีความสัมพัทธ์โดยตรงต่อการเกิดฝน หากมีเมฆมากก็จะมีฝนมากตามไปด้วยเมฆจะมีผลเป็นร่มเงาให้กับพื้นที่ข้างล่าง รวมทั้งการเกิดลมบ้าง อุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์และ การเกิดโรคแมลงระบาดมากน้อยต่างกันไป ส่วนฝนมีอิทธิพลต่ออุณหภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ การเกิดลม การเกิดโรคแมลงระบาดได้เช่นกัน ฝนที่ตกหนักอาจทำลายโรงเรือนและทำความเสียหายให้กับการเพาะเห็ดฟางในถุงได้ จึงควรหาทางป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น เช่น การเกิดน้ำท่วม น้ำฝนซึมเข้าในถุงเพาะมากเกินไป
                4.7 ควันไฟ ควันไฟเป็นผลจากมีการเผาวัสดุต่าง ๆ โดยเฉพาะที่มีการเผาวัสดุที่อยู่ในบริเวณใกล้พื้นที่เพาะเห็ดฟางในถุง พบว่าควันไฟดังกล่าวจะถูกดูดซับเข้าไปในวัสดุเพาะเห็ดฟางได้ง่าย ทำให้เชื้อเห็ดฟางไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควรหรือไม่เจริญเลย ทำให้การเพาะเห็ดฟางในถุงไม่ได้ผล ดังนั้นจะต้องระมัดระวังควันไผดังกล่าวด้วยเสมอเมื่อเพาะเห็ดฟางในถุง

                4.8 โรคและแมลงศัตรูเห็ดฟาง โรคและแมลงศัตรูเห็ดฟาง และสัตว์ศัตรูเห็ดฟาง ได้แก่
                1. เชื้อรา เช่น ราเขียว ราดำ ราสีชมพู
                2. เห็ด เช่น เห็ดหมึก เห็ดผักกาด เห็ดขี้ควาย และเห็ดถั่ว
                3. เชื้อแบคทีเรีย
                4. ปลวก มด
                5. หนู สุนัข แมลง

7.ประโยชน์ของเห็ดฟาง
ให้วิตามินซีสูง และมีกรดอะมิโนสำคัญอยู่หลายชนิด เชื่อว่าหากรับประทานประจำจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันลดการติดเชื้อต่างๆ แต่ก็ไม่ควรรับประทานสด ๆ เพราะมีสารที่คอยยับยั้งการดูดซึมอาหาร ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน โรคเหงือก และลดอาการผื่นคันต่างๆ 

คุณค่าทางอาหารของเห็ดฟาง วิเคราะห์โดยกรมวิชาการเกษตร
คุณค่าทางอาหารคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ (%)
ความชื้น (initial moisture) 88.4 
โปรตีน (crude protein) 33.1 (ของน้ำหนักแห้ง) 
ไขมัน (fat) 6.4 (ของน้ำหนักแห้ง)
คาร์โบไฮเดรต (total carbohydrate) 60.0 (ของน้ำหนักแห้ง)
เยื่อใยหรือกาก (fiber) 11.9 (ของน้ำหนักแห้ง)
เถ้า (ash) 12.6 (ของน้ำหนักแห้ง)
พลังงาน (energy value) 338 กิโลแคลลอรี่

วิธีดำเนินการ

        ในการศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษาได้ทำการศึกษาเรื่องการเพาะเห็ดฟางในตะกร้าซึ่งมีวิธีการดังนี้
ระเบียบวิธีที่ใช้ในการศึกษา
        ในการศึกษาใช้รูปแบบการทดลอง สืบค้นข้อมูลจากหนังสือ และสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญ
วิธีดำเนินการศึกษา
 ผู้ศึกษาได้ดำเนินการศึกษาตามขั้นตอนดังนี้
1.กำหนดเรื่องที่จะศึกษา โดยสมาชิกทั้ง 4 คน ประชุมร่วมกัน และร่วมกันคิดและวางแผนว่าจะศึกษาเรื่องใด
2.สำรวจปัญหาที่พบ
3.เลือกเรื่องที่จะศึกษาโดยเลือกเรื่องที่สมาชิกมีความสนใจมากที่สุด เพื่อเป็นแรงจูงใจในการค้นหาคำตอบ
4.ศึกษาแนวคิดในการแก้ปัญหา
5.ตั้งชื่อเรื่อง
6.สมาชิกทั้ง 4 คนของกลุ่ม พบครูผู้สอนเพื่อปรึกษา วางแผนและรับฟังความคิดเห็น ปรับปรุงแก้ไข
7.เขียนความสำคัญความเป็นมาของปัญหา วัตถุประสงค์ สมมุติฐาน ขอบเขตการวิจัยและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ โดยศึกษาข้อมูลจากหนังสือ วิทยานิพนธ์และสืบค้นข้อมูลจากหนังสือ และจดบันทึกในโดรงร่างรายงานเชิงวิชาการ
8.ทำการทดลอง โดยมีวิธีทดลองการเพาะเห็ดฟางในตะกร้าดังนี้
    1).เตรียมวัสดุอุปกรณ์
    2).ทุบก้อนเชื้อเห็ดฟาง 6 ก้อนให้แตกพอแหลก ไม่ต้องละเอียด แยกเป็น 2 กอง
    3).ใส่ฟางข้าวและผักตบชวาลงในตะกร้า สูงประมาณ 2 -3 นิ้ว กดให้พอแน่น และให้ชิดขอบตะกร้า ทำแบบนี้จำนวน 2 ตะกร้า
    4).นำเชื้อเห็ดฟางกองที่ 1 มาโรยบนฟางข้าวและผักตบชวาในตะกร้าที่ 1  ได้เป็นตะกร้าที่ 1  และนำเชื้อเห็ดฟางกองที่ 2 มาโรยบนฟางข้าวและผักตบชวาในตะกร้าที่ 2
    5).ใส่รำละเอียดลงในตะกร้าที่ 1 และใส่หัวเชื้อเห็ดฟางลงในตะกร้าที่ 2 
   6).นำตะกร้าทั้ง  2 ใส่ในสุ่มไก่เพื่อควบคุมอุณหภูมิ
   7).รักษาอุณหภูมิให้อยูที่ 33 – 38 องศาเซลเซียส เมื่อเส้นใยเดินเต็มวัสดุจึงรดน้ำด้วยบัวรดน้ำ
9.รวบรวมข้อมูล
10.วิเคราะห์ข้อมูล
12.สรุปการศึกษา

วัสดุอุปกรณ์
1.เชื้อเห็ดฟาง
2.รำละเอียด
3.หัวเชื้อเห็ดฟาง
4.ตะกร้า
5.สุ่มไก่
6.แผ่นพลาสติกใส
7.ฟางข้าว
8.ผักตบชวา

ผลการวิเคราะห์ข้อมูล

         การวิเคราะห์ข้อมูลการเพาะเห็ดฟางในตะกร้า ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น    โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย ได้ดังนี้ 
ตารางที่ 1 แสดงผลการเจริญเติบโตของเห็ดฟาง
โดยเปรียบเทียบระหว่างการใช้เชื้อเห็ดฟางและผักตบชวา
สารอาหาร
ผลการทดลอง
หัวเชื้อเห็ดฟางและรำละเอียด

เห็ดฟางไม่ขึ้น
หัวเชื้อเห็ดฟาง รำละเอียดและผักตบชวา
เห็ดฟางขึ้นมาปริมาณ 3 ดอกและหลังจากนั้นเห็ดฟางได้ขึ้นรา

จากตารางที่ 1 พบว่า จากการทดลองครั้งนี้เป็นการทดลองที่ผิดวิธี โดยการเพาะเห็ดฟางในตะกร้าที่ไม่มีรูและการโรยหัวเชื้อเห็ดฟางและรำละเอียดหลังจากที่เพาะเห็ดฟางแล้ว ทำให้การทดลองครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จ

ตารางที่ 2  แสดงผลการเจริญเติบโตของเห็ดฟาง
โดยเปรียบเทียบระหว่างการใช้ฟางและรำละเอียด
สารอาหาร
ผลการทดลอง
หัวเชื้อเห็ดฟาง รำละเอียดและผักตบชวา
เห็ดฟางขึ้นมาปริมาณ 1 ดอกและหลังจากนั้นเห็ดฟางได้เหี่ยวเฉาและตาย

หัวเชื้อเห็ดฟาง รำละเอียดและฟาง

เห็ดฟางขึ้นมาปริมาณ 5 ดอกและหลังจากนั้นเห็ดฟางได้เหี่ยวเฉาและตาย


จากตารางที่ 2 พบว่า การทดลองครั้งนี้ได้รดน้ำเห็ดฟางเยอะเกินไปและการใส่ฟางข้าวที่น้อยมาก ทำให้การทดลองครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ

ตารางที่ 3  แสดงผลการเจริญเติบโตของเห็ดฟาง
โดยเปรียบเทียบระหว่างการใช้ฟางและรำละเอียด
สารอาหาร
ผลการทดลอง
หัวเชื้อเห็ดฟาง รำละเอียดและผักตบชวา

เห็ดฟางขึ้นปริมาณ 7 ดอก ดอกเห็ดฟางมีสีขาวเทา ผิวหมวกดอกเห็ดเรียบ มีลักษณะคล้ายรูปร่ม ก้านดอกหนาและกลม

หัวเชื้อเห็ดฟาง รำละเอียดและฟาง

เห็ดฟางขึ้นปริมาณ 12 ดอก ดอกเห็ดฟางมีสีขาวเทา ผิวหมวกดอกเห็ดเรียบ มีลักษณะคล้ายรูปร่ม ก้านดอกหนาและกลม


จากตารางที่ 3 พบว่า เนื่องจากมีการใช้ฟางข้าวปริมาณมาก การเพาะเชื้อเห็ดฟางในตะกร้าที่มีรู และการรดน้ำในปริมาณที่เหมาะสม การศึกษาเรื่องการเพาะเห็ดฟางในตะกร้าอยู่ในระดับคุณภาพ ปานกลาง


สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ

        จากการศึกษาครั้งนี้เพื่อเพื่อทดลองการเพาะเห็ดในตะกร้า   และเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบว่าสารอาหารชนิดใดทำให้เห็ดเจริญเติบโตมากกว่ากัน  ในโรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย  สุพรรณบุรี       ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 ซึ่งสามารถสรุปผล อภิปรายผล และเสนอแนะได้ดังนี้
            1. วัตถุประสงค์ของการศึกษา
            2. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
            3. วิเคราะห์ข้อมูล
            4. สรุปผลการศึกษา           
            5.ข้อเสนอแนะ           
วัตถุประสงค์ของการศึกษา
           1.เพื่อทดลองการเพาะเห็ดในตะกร้า
           2.เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบว่าสารอาหารชนิดใดทำให้เห็ดเจริญเติบโตมากกว่ากัน
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ประกอบด้วย
    1.เชื้อเห็ดฟาง                                                       2.รำละเอียด
   3.หัวเชื้อเห็ดฟาง                                                   4.ตะกร้า
   5.สุ่มไก่                                                                6.แผ่นพลาสติกใส
  7.ฟางข้าว                                                              8.ผักตบชวา

วิเคราะห์ข้อมูล
         ในการวิเคราะห์ข้อมูล  ผู้ศึกษาได้วิเคราะห์ข้อมูลของการเจริญเติบโตของเห็ดฟาง ในการศึกษาการเพาะเห็ดฟางในตะกร้า เช่น เห็ดฟางขึ้นปริมาณ 5 ดอก ดอกเห็ดฟางมีสีขาวเทา ผิวหมวกดอกเห็ดเรียบ มีลักษณะคล้ายรูปร่ม ก้านดอกหนาและกลม โดยการสังเกตและบันทึกผล
สรุปผลการศึกษา
                การทดลองครั้งที่ 1
               จากการทดลองครั้งนี้เป็นการทดลองที่ผิดวิธี โดยการเพาะเห็ดฟางในตะกร้าที่ไม่มีรูและการโรยหัวเชื้อเห็ดฟางและรำละเอียดหลังจากที่เพาะเห็ดฟางแล้ว ไม่ได้ใส่ฟางข้าวและผักตบชวา  ทำให้การทดลองครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จ
             
                 การทดลองครั้งที่ 2
             การทดลองครั้งนี้ได้รดน้ำเห็ดฟางเยอะเกินไปและการใส่ฟางข้าวที่น้อยมาก ทำให้การทดลองครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จ
                การทดลองครั้งที่ 3
                เนื่องจากมีการใช้ฟางข้าวปริมาณมาก การเพาะเชื้อเห็ดฟางในตะกร้าที่มีรู และการรดน้ำในปริมาณที่เหมาะสม การศึกษาเรื่องการเพาะเห็ดฟางในตะกร้าอยู่ในระดับคุณภาพ ปานกลาง
การอภิปรายผล
          จากการศึกษาการเพาะเห็ดฟางในตะกร้า ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย สุพรรณบุรี ศึกษาค้นคว้าเพื่อต้องการทดลองการเพาะเห็ดฟางในตะกร้า และเพื่อเปรียบเทียบว่าสารอาหารชนิดใดทำให้เห็ดเจริญเติบโตมากกว่ากัน การศึกษาครั้งนี้ล้มเหลว เนื่องจากการรดน้ำลงในเชื้อเห็ดฟางเยอะเกินไปและไม่ควบคุมอุณหภูมิการเพาะเห็ดฟาง
ข้อเสนอแนะ
           ข้อเสนอแนะในการศึกษาครั้งนี้
             1.สามารถนำไปศึกษากับกลุ่มตัวอย่างอื่น
             2.ควรมีเวลาในการศึกษามากกว่านี้
             3.ควรศึกษาเกี่ยวกับการเพาะเห็ดฟางมากกว่านี้
              4.ควรเก็บข้อมูล และบันทึกผลให้ละเอียดกว่า



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น